บทที่ 7 ความจริงยิ่งกว่าเจ็บ (70%)
“หูยยยย…ใจร้ายอะ”
จันทร์เจ้าขาเอ่ยเหมือนตัดพ้อ ทว่าสีหน้าและแววตายังคงสดใสและขี้เล่นไม่เปลี่ยน ด้วยรู้ดีว่าเรื่องบางเรื่องปล่อยให้มันเป็นลับเฉพาะคนสองคนน่ะดีแล้ว
“งั้นแลกกันไหม ลูกจันทร์เล่าเรื่องของลูกจันทร์กับเดือนคณะสัตวแพทย์ให้เราฟัง ส่วนเราก็จะเล่าเรื่องคุณหวงให้ลูกจันทร์ฟัง แลกกันแบบนี้ดีไหมจะได้แฟร์ๆ”
“ไม่เอา!” จันทร์เจ้าขาสวนกลับทันควัน แล้วทำหน้ามู่ทู่ “เราไม่อยากรู้แล้วก็ได้ แล้วแพรก็ห้ามเอ่ยถึงผู้ชายปากหมาที่เรียนหมอหมาอย่างนายนั่นให้เราได้ยินอีกเป็นอันขาด”
ท่าทางงอนๆ ปากยื่นๆ ทำให้ปานระพีหลุดขำออกมา
ข้อดีของจันทร์เจ้าขาที่ทำให้เธอคบกับอีกฝ่ายได้ยืดยาวพอๆ กับไคลีย์ มิลเลอร์ ซึ่งฝ่ายหลังอยู่ประเทศอังกฤษ ก็คือทั้งคู่เข้ามาอย่างมิตร ไม่มีพิษมีภัย ไม่มองถึงอดีตที่ผ่านมา ไม่ก้าวก่ายความเป็นส่วนตัวมากเกินไปจนกลายเป็นล้ำเส้น เคารพในการตัดสินใจ และที่สำคัญคือยอมรับในสิ่งที่เธอเป็น
เพื่อนรักทั้งคู่มักถามไถ่ถึงเรื่องของมหรรณพอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งทุกครั้งปานระพีก็จะตอบด้วยถ้อยคำเดิม ว่าเขาเคยช่วยชีวิตเธอไว้ แต่ไม่ยอมขยายความว่าช่วยยังไง นั่นเพราะเธออยากจะเก็บความรู้สึกพิเศษในช่วงเวลานั้นไว้แต่เพียงผู้เดียว ช่วงเวลาที่เธอมองว่าเขาเป็นฮีโร่ เป็นเทพบุตรขี่ม้าขาว ยังคงตราตรึงอยู่ในห้วงความรู้สึกไม่เสื่อมคลาย ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้มีความหมายอะไรต่อเขา แต่สำหรับเธอแล้วมันมีค่ายิ่งกว่าอะไรทั้งหมด
“หยุดใจลอยถึงสามีได้แล้วจ้า โน่นแน่ะ…ตัวจริงเขามาแล้ว”
จันทร์เจ้าขาว่าพลางบุ้ยปากไปทางถนน แต่แทนที่จะสนใจปานระพีกลับก้มลงหยิบหนังสือตรงหน้ายัดใส่กระเป๋าสะพายข้างใบสีขาว ขณะขยับปากนุ่มเอ่ยตอบโต้
“อย่ามาโกหกเสียให้ยาก เมื่อเช้าคนที่บ้านก็แกล้งเราทีนึงแล้ว อยู่ๆ ก็โทรมาบอกว่าคุณหวงจะมารับเรา เขาหายไปตั้งสามปี อยู่ๆ จะโผล่มารับเราถึงมหา’ลัยเนี่ยนะ มันนอนเซ็นซ์ที่สุด”
“เราว่าคนที่บ้านแพรคงพูดจริงแหละ โน่นแน่ะ…เขามาจริงๆ”
ทันทีที่เงยหน้าขึ้น แล้วหันไปทางที่เพื่อนพยักพเยิด ปานระพีก็นิ่งอึ้ง ดวงตากลมโตเบิกโพลง นั่งตัวแข็งทื่อ แต่ที่ร้ายสุดคือหน้าอกข้างซ้ายของเธอเต้นกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง
ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีมหรรณพก็ยังคงมีผลต่ออัตราการเต้นของหัวใจเสมอ ร่างสูงสง่าในชุดเสื้อยืดคอกลมสีขาว สวมทับด้วยแจ๊กเกตหนังสีดำ และกางเกงยีนส์ ยืนกอดอกพิงรถสปอร์ตสีดำทะมึนด้วยท่าทีสบายๆ ทว่ากลับหล่อกระชากใจ ดึงดูดให้เธอละสายตาไปไหนไม่ได้
“หูยยยยย…ตะลึงในความหล่อของสามีจนอึ้งไปเลยเหรอจ๊ะคุณเพื่อน”
เสียงแซวทำให้คนที่เอาแต่นั่งนิ่งอึ้งได้สติ ปานระพีหันไปค้อนให้เพื่อนซี้หนึ่งที
“ไม่ใช่สักหน่อย”
“ยอมรับมาเถอะน่า ก็สามีแพรหล่อจริงๆ นี่นา ขนาดเรายังตาพร่ากับความหล่อดุดันสไตล์มาเฟียเถื่อนของสามีเธอเลย” จอมเซี้ยวยังไม่วายสัพยอก
“แล้วก็ไม่ใช่แค่เรานะ ที่ว่าสามีแพรหล่อ สาวๆ บริเวณนี้มองเขาตาเป็นมันกันทั้งนั้น โดยเฉพาะกลุ่มโน้น ดูสิ…มองสามีเธอเหมือนจะกลืนลงท้องเลยแน่ะ แหม! อยากเดินเข้าไปบอกเสียจริง ว่าสุดหล่อนั่นน่ะของเธอ”
“อย่าเชียวนะยัยลูกจันทร์!”
“โอ๊ย! เราไม่ทำหรอกน่า เอาเป็นว่าเห็นแก่สามีเธอแล้วกัน” แม่สาวจอมเฮี้ยวยักคิ้วอย่างทะเล้น จนปานระพีต้องส่งค้อนวงงามไปให้อีกหนึ่งที
“เอ้า…มัวแต่นั่งหน้าแดงตัวบิดอยู่นั่นแหละ รีบไปหาสามีสิยะ เขายืนพิงรถโพสต์ท่าหล่อยั่วน้ำลายสาวๆ รอเธอนานแล้วนะ เล่นตัวเกินไปเดี๋ยวก็มีใครมาลากสามีเธอไปกินหรอก”
“งั้นเราไปนะ”
“โอเคจ้า ไว้เจอกันเย็นวันศุกร์”
ปานระพีพยักหน้าเบาๆ ผุดลุกขึ้น คว้าสายกระเป๋ามาคล้องไหล่ ก่อนจะก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่ค่อยมั่นคงนัก ทุกย่างก้าวหัวใจดวงน้อยเต้นกระหน่ำจนเหมือนจะหลุดออกมานอกอก
ที่สุดปานระพีก็เดินมาหยุดลงตรงหน้าผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นสามี ยิ่งได้มองใกล้ๆ เธอยิ่งใจสั่น มหรรณพ นิธิธาดา ในวัยยี่สิบเก้าย่างสามสิบ หล่อจนเกือบลืมหายใจ ดวงตาสีน้ำตาลเหลือบดำคู่นั้นทำให้เธอเหมือนต้องมนตร์สะกด ผ่านไปสามปีเขาดูเป็นผู้ชายเต็มตัวมากขึ้น ใบหน้าหล่อเหลากระด้างและคมคายกว่าเดิมหลายเท่า รูปร่างสูงใหญ่ดูทรงพลัง อีกทั้งภูมิฐาน สง่า และน่าเกรงขามในเวลาเดียวกัน ปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกอย่างที่ประกอบขึ้นเป็นผู้ชายตรงหน้ามันยิ่งกว่าคำว่าลงตัว เขาทำให้หนุ่มที่ว่าหล่อสุดของมหา’ลัยดูเป็นเด็กน้อยหน่อมแน้มไปเลย
ปานระพีตกอยู่ในภวังค์พักใหญ่ เพราะเอาแต่มองหน้าหล่อๆ ด้วยท่าทางลอยๆ ราวคนละเมอ กระทั่งเสียงกระแอมดังขึ้น สติที่เตลิดไปกับความหล่อกระชากใจของเขาถึงได้กลับมาอีกครา ก่อนจะก็รวบรวมความกล้าเปิดรอยยิ้มน่ารักสดใส พร้อมเอ่ยทักทายเสียงหวานชวนฟัง ซึ่งไม่บ่อยนักที่เธอจะใช้น้ำเสียงแบบนี้กับใคร หากไม่พิเศษจริงๆ
“สวัสดีค่ะ คุณหวง”
หญิงสาวยกมือไหว้อย่างอ่อนช้อย
“อืม…”
เขาพยักหน้าเล็กน้อย มหรรณพก็ยังคงเย่อหยิ่ง ไว้ตัว และเข้าถึงยาก ไม่เคยเปลี่ยน แต่ก็ช่างเถอะ แค่เขาลงทุนมารับถึงมหา’ลัยเธอก็ปลื้มจะแย่อยู่แล้ว
“เมื่อเช้าคนที่บ้านโทรมาบอกว่าคุณหวงจะมารับแพร แพรยังคิดว่าเขาล้อแพรเล่นอยู่เลย ไม่คิดว่าคุณหวงจะมารับแพรจริงๆ ดีใจจัง”
ปานระพีชวนคุยเพื่อลดความประหม่า อีกทั้งอยากจะสร้างความคุ้นเคยกับเขา ทั้งที่ปกติเป็นคนสงบปากสงบคำ จนบางครั้งเข้าขั้นมนุษยสัมพันธ์ยอดแย่ หากไม่สนิทจริงๆ จะพูดแทบนับคำได้ แต่กับเขามันต่างออกไป มหรรณพพิเศษสำหรับเธอมากกว่าคนอื่น ท้ายประโยคสาวน้อยหลุดทำท่าเขินอายออกมา เพราะรู้สึกได้ว่าสายตาคมกล้าคู่นั้นจ้องหน้านวลนิ่ง มันนิ่งเหมือนสะกดวิญญาณ จนคนถูกมองทำตัวไม่ถูก พวงแก้มใสเป็นสีเลือดฝาด
“ขึ้นรถสิ ฉันมีเรื่องจะคุยด้วย”
เจ้าของร่างสูงใหญ่ไหล่กว้างที่ตกเป็นเป้าสายตาของสาวๆ บริเวณนั้นบุ้ยปากไปยังรถ ตัดบทเสียดื้อๆ จากนั้นก็เคลื่อนกายเข้าไปนั่งประจำตำแหน่งคนขับ เธอทำท่าเลิ่กลั่กอยู่สักพัก ก่อนจะก้าวขาตามขึ้นรถไปด้วยความสับสน
ไหนคุณย่าบอกว่าเขาเต็มใจแต่งงานกับเธอ แล้วทำไมถึงได้เย็นชานัก
นี่หรือท่าทีที่คนเป็นสามีภรรยากันแสดงออกมาหลังจากไม่พบหน้ากันมาถึงสามปี
“เอ่อ…เราจะคุยกันที่นี่เหรอคะ”
ครั้นเห็นว่าผ่านไปหลายนาทีคนที่นั่งกอดอกทำหน้านิ่งๆ อยู่หลังพวงมาลัยรถสปอร์ตคันหรูยังไม่มีทีท่าว่าจะสตาร์ตรถ ปานระพีจึงหันไปอ้อมแอ้มถามด้วยความสงสัย
“อือ…คุยเสร็จฉันก็จะไป ส่วนเธอก็ต้องลงจากรถฉัน เพราะฉันไม่คิดจะไปส่งเธอ” เสียงห้าวห้วนสวนกลับอย่างไม่รักษาน้ำใจ “ถ้ากลับบ้านเองไม่ได้ก็บอก จะได้เรียกแท็กซี่ให้”
“แพรกลับเองได้ค่ะ” เธออ้อมแอ้มออกมา สีหน้าไม่สู้ดีนัก
“ดี…งั้นเข้าเรื่องเลยแล้วกัน” เขาพยักหน้าเล็กน้อย แล้วเอ่ยต่อ “ฉันแค่จะมาบอกเธอว่าฉันจะย้ายกลับมาอยู่เมืองไทย”
“งั้นก็ดีสิคะ” คราวนี้หญิงสาวละล่ำละลักตาเป็นประกายด้วยความยินดี “เราจะได้ย้ายเข้าไปอยู่เรือนหอด้วยกันเสียที คุณย่าบอกว่าคุณหวงเป็นคนออกเงินสร้าง มันสวยมากเลยค่ะ ถูกใจแพรมากๆ”
“เธออยู่ไปเถอะ”
เสียงเรียบสนิทไร้อารมณ์ทำให้ปานระพีนิ่งงันไปชั่วขณะ ก่อนจะหันไปมองหน้าเขาเต็มตา
“หมายความว่ายังไงคะ?”
“ฉันยกให้”
“แล้วคุณหวงล่ะคะ”
“ฉันก็อยู่ส่วนฉัน เธอก็อยู่ส่วนเธอ”
“แล้วทำไมเราไม่ไปอยู่ด้วยกันล่ะคะ”
“ปัดโธ่โว้ย! เธอยังไม่เข้าใจอีกเหรอวะ ว่าฉันไม่อยากอยู่กับเธอ” น้ำเสียงกระด้างที่โพล่งขึ้นด้วยแรงอารมณ์เพราะเหลืออดทำให้ปานระพีสะดุ้งเฮือก แทบหยุดหายใจ ก่อนจะเอ่ยเสียงสะท้าน
“แต่เราเป็นสามีภรรยากันนะคะ”
บ้าเอ๊ย! ทำไมเขาต้องรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังรังแกเด็กด้วยวะ
“ฟังนะแม่ลูกหมูน้อย ฉันไม่เคยอยากเป็นสามีเธอ ไม่เคยอยากได้เธอเป็นเมีย แต่ในเมื่อพลาดพลั้งแล้วฉันก็ต้องจำใจรับผิดชอบเธอ” ชายผู้ไม่แคร์โลกเอ่ยอธิบายอย่างหัวเสีย
